11 เทคนิค สิ่งที่ควรรู้สำหรับผู้ใช้กล้องดิจิตอล
1. ถ่ายภาพกลางคืนให้ฉากหลังมีรายละเอียด
ในการถ่ายภาพกลางคืนหรือในสภาพแสงน้อยมากๆ โดยปกติจะมีการใช้แฟลชเพื่อเพิ่มแสงให้กับวัตถุ ภาพที่ปรากฏออกมา ส่วนของวัตถุและบริเวณใกล้เคียงจะมีแสงที่พอดี ส่วนที่ไกลออกไปมักจะมืดมากจนมองไม่เห็นอะไรเลย ถ้าเป็นภาพที่เน้นตัววัตถุที่เป็นจุดสนใจเพียงอย่างเดียวคงไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ถ้าเป็นภาพที่ต้องการฉากหลังด้วย เช่น ภาพถ่ายคู่กับสถานที่ ภาพฉากหลังดำๆ คงไม่สวยและไม่สื่อถึงสิ่งที่เราต้องการบอกเล่าเท่าไรนัก
ปัญหาที่เกิดขึ้นเนื่องจาก เมื่อเราเปิดให้แฟลชทำงาน กล้องถ่ายภาพจะเลือกใช้ความเร็วชัตเตอร์สูงเพื่อป้องกันการสั่นไหวของภาพ เมื่อใช้ความเร็วชัตเตอร์สูง บริเวณด้านหน้าที่โดนแสงแฟลชจะมีความสว่างของแสงเพียงพอ แต่ที่ระยะไกลออกไป ปริมาณแสงแฟลชจะไม่เพียงพอเพราะอยู่ห่างจากแหล่งกำเนิดแสง ที่ระยะไกลจึงมีแต่แสงธรรมชาติหรือแสงตามสภาพเป็นหลัก แต่การที่กล้องใช้ความเร็วชัตเตอร์สูง ทำให้แสงธรรมชาติหรือแสงตามสภาพเข้ามาไม่เพียงพอ ทำให้ภาพฉากหลังดำ
ทางแก้คือ ต้องลดความเร็วชัตเตอร์ลงไปเพื่อให้เซ็นเซอร์สามารถเก็บแสงที่ฉากหลังได้เพียงพอ เราเรียกการใช้ความเร็วชัตเตอร์ต่ำๆ ร่วมกับแฟลชในการถ่ายภาพในที่แสงน้อยๆ หรือกลางคืนว่า Slow-sync สามารถปรับตั้งระบบ Slow-sync ได้โดยการตั้งระบบแฟลชไปที่รูปคนกับดาว หรือรูปสายฟ้ากับคำว่า Slow การใช้งานระบบ Slow-sync ผู้ถ่ายภาพจำเป็นต้องใช้ขาตั้งกล้องเพื่อมิให้ภาพสั่นไหวจากการใช้ความเร็วชัตเตอร์ต่ำ และไม่ควรให้จุดสนใจอยู่ห่างจากกล้องเกินระยะการทำงานของแฟลช (ถ้าเป็นกล้องคอมแพคที่มีแฟลชในตัว ระยะห่างจะไม่เกิน 2.5 เมตรโดยเฉลี่ย S 5500 ของผม 2 เมตรที่มาโคร 5เมตรที่ระยะปกติ)
2. ถ่ายภาพในที่แสงน้อยไม่ให้ภาพสั่นไหว
ผู้ใช้กล้องดิจิตอลส่วนมากจะมีปัญหาภาพสั่นไหว โดยเฉพาะเมื่อถ่ายภาพในที่แสงน้อยๆ ทั้งนี้เนื่องมาจากเวลาอยู่ในที่แสงน้อย กล้องจะลดความเร็วชัตเตอร์ลงมาเพื่อให้ปริมาณแสงเพียงพอ การสดความเร็วชัตเตอร์ (เพิ่มเวลาเปิดรับแสง) ทำให้ภาพมีโอกาสสั่นไหวได้มากขึ้น ยิ่งแสงน้อยเท่าไร ภาพยิ่งมีโอกาสสั่นไหวมากขึ้นเท่านั้น ผู้ใช้กล้องสามารถสังเกตว่าภาพจะมีโอกาสสั่นไหวหรือไม่จากการดูค่าความเร็วชัตเตอร์ที่จอ LCD ของกล้อง หากความเร็วชัตเตอร์ต่ำกว่า 1/60 วินาที โอกาสสั่นไหวของภาพจะสูง และยิ่งซูมภาพมากเท่าไร โอกาสภาพจะสั่นไหวยิ่งสูงขึ้นตามไปด้วย ปกติความเร็วชัตเตอร์ที่สามารถทำให้มือถือกล้องนิ่งได้จะอยู่ที่ 1/ทางยาวโฟกัสของเลนส์เทียบกับกล้องขนาด 35มม. เช่น ถ้าใช้กล้องคอมแพคดิจิตอลที่ขนาดเลนส์ 5.7(เอส 5500) เทียบเป็นกล้อง 35 ได้ทางยาวโฟกัส 50 มม. ก็ควรใช้ความเร็วชัตเตอร์ประมาณ 1/50 วินาทีขึ้นไป เป็นต้น
แต่ในสภาพแสงน้อยๆ โอกาสที่จะได้ใช้ความเร็วชัตเตอร์สูงอย่างที่ต้องการเป้นไปได้น้อยมากๆ ดังนั้น ภาพจึงมีโอกาสสั่นไหวสูงเป็นพิเศษ ทางแก้ปัญหาจะมีอยู่ 2 แนวทางคือ
1. เพิ่มความไวแสงของกล้องให้สูงขึ้น เพื่อให้ใช้ความเร็วชัตเตอร์สูงขึ้น ข้อดีคือ สามารถใช้มือถือกล้องถ่ายภาพได้ตามปกติ ใช้ความเร็วชัตเตอร์สูงจับการคลื่อนไหวของวัตถุได้ เหมาะกับการถ่ายภาพเคลื่อนไหวในที่แสงน้อยๆ ข้อเสียคือ ภาพจะมีสัญญาณรบกวนสูงขึ้น (ไอ่ที่เราเรียกกันว่า น้อยส์ๆ นั่นแหล่ะ) ยิ่งเพิ่มความไวแสงยิ่งมีสัญญาณรบกวน ภาพจะขาดความคมชัด รายละเอียดหายไปบ้าง สีสันผิดเพี้ยนไม่อิ่มตัวนัก คุณภาพโดยรวมลดลง
2. ใช้ขาตั้งกล้อง ทำให้ใช้ความเร็วชัตเตอร์ต่ำได้โดยกล้องไม่สั่นไหว ข้อดีคือได้ภาพคมชัด สีสัน รายละเอียด และคุณภาพโดยรวมไม่ตกลงเหมือนการเพิ่มความไวแสง แต่ข้อเสียคือ ต้องพกขาตั้งกล้อง ซึ่งอาจจะเกะกะและสร้างความลำบากในการเดินทางอยู่บ้าง (ผมแก้ปัญหาโดยการยืมเค้าเอา ) และไม่เหมาะกับการถ่ายภาพวัตถุที่เคลื่อนไหวให้หยุดนิ่ง
รูปข้างล่างเป็นถนนข้าวสาร ชัตเตอร์สปีด 1/40 F.5 iso 200 ลอง 400 แล้วรับไมไ่ด้กับนอยส์ เปิดแฟลชชดเชย + 1/3EV ไม่ได้ใช้ขาตั้ง กลั้นหายใจก่อนกดชัตเตอร์
3. ถ่ายภาพเคลื่อนไหวให้ดูเคลื่อนไหว และภาพเคลื่อนไหวให้หยุดนิ่ง
ภาพถ่ายของมือใหม่ส่วนใหญ่ วัตถุที่เคลื่อนไหวมักจะคมชัดหยุดนิ่ง โดยเฉพาะถ้าเป็นการถ่ายภาพโดยใช้ระบบโปรแกรมอัตโนมัติ P กล้องจะเลือกความเร็วชัตเตอร์สูงๆ ไว้ให้ตลอดเวลา ทำให้ป้องกันภาพสั่นไหวและช่วยให้ภาพเคลื่อนไหวหยุดนิ่งได้เป็นอย่างดี ภาพที่หยุดนิ่งกับภาพเคลื่อนไหวให้อารมณ์ภาพที่แตกต่างกัน ภาพหยุดนิ่งในบางครั้งจะดูตื่นเต้นเร้าใจ เช่น ภาพคนกระโดดค้างอยู่กลางอากาศ แต่บางครั้งอาจจะดูน่าเบื่อ เช่น ภาพรถวิ่งบนถนนที่หยุดนิ่ง ดูแล้วไม่รู้ว่ารถกำลังวิ่งหรือจอดอยู่กับที่กันแน่ ภาพบางภาพจึงควรให้ดูเคลื่อนไหว และบางภาพควรให้ดูหยุดนิ่ง
การควบคุมการเคลื่อนไหวและการหยุดนิ่งของภาพควบคุมที่ความเร็วชัตเตอร์ ความเร็วชัตเตอร์สูง เช่น 1/1000 วินาทีทำให้วัตถุที่เคลื่อนไหวหยุดนิ่งได้มากกว่าความเร็วชัตเตอร์ต่ำๆ เช่น 1/4 วินาที แต่ถ้าวัตถุหยุดนิ่งและตั้งกล้องบนขาตั้งกล้อง ความเร็วชัตเตอร์จะไม่มีผลต่อการเคลื่อนไหวของภาพแม้แต่น้อย
ในการใช้งาน หากวัตถุมีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและต้องการให้วัตถุหยุดนิ่ง แนะนำให้ใช้ความเร็วชัตเตอร์สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ อาจจะต้องมีการเพิ่มความไวแสงช่วยหากถ่ายภาพในสภาพแสงน้อย หรือใช้แฟลชจับการเคลื่อนไหวของวัตถุก็ได้ แต่ถ้าวัตถุเคลื่อนไหวและต้องการให้ดูเคลื่อนไหว ให้ใช้ความเร็วชัตเตอร์ต่ำ ที่สุดเท่าที่สามารถทำได้
เพื่อความสะดวกในการถ่ายภาพ แนะนำให้ใช้ระบบ Shutter Puority , S หรือ TV กล้องจะตั้งขนาดช่อวรับแสงให้อัตโนมัติ ส่วนผู้ใช้เลือกความเร็วชัตเตอร์ที่ต้องการ จะให้ความสะดวกในการถ่ายภาพเป็นอย่างมาก แต่ก็มีข้อควรระวังอยู่บ้าง เช่น ต้องดูว่ากล้องสามารถตั้งช่องรับแสงให้ได้หรือไม่ หากกล้องไม่สามารถตั้งช่องรับแสงได้จะมีคำว่า Over , Under ,ลูกศรกระพริบ หรือตัวเลขช่องรับแสงกระพริบ (ฟูจิจะเป็นตัวเลขสีแดง) แสดงว่ากล้องไม่สามารถปรับตั้งค่าแสงได้ จำเป็นต้องเปลี่ยนความเร็วชัตเตอร์หรือความไวแสงให้สัมพันธ์กับปริมาณแสงในขณะนั้นด้วย
4. ถ่ายภาพให้ชัดตื้น ชัดลึก (เป็นหัวข้อที่แม้แต่ในห้องกล้องก้อมีคนถามทุกวัน ทำยังไงถึงจะถ่ายหน้าชัด หลังเบลอได้.. จะละลายฉากหลังยังไง...บลา บลา )
ภาพที่มีจุดสนใจคมชัด และฉากหน้าและฉากหลังเบลอ เราเรียกว่าภาพชัดตื้น ส่วนภาพที่มีจุดสนใจคมชัด ฉากหลังและฉากหน้าคมชัดเช่นเดียวกัน เราเรียกว่า ภาพชัดลึก ภาพชัดตืนจะทำให้วัตถุที่เป็นจุดสนใจดูดดดเด่นออกจากฉากหน้าและฉากหลัง สามารถเน้นจุดสนใจได้เป็นอย่างดี มันจะใช้ในการถ่ายภาพบุคคล ภาพมาโคร หรือภาพวัตถุในระยะใกล้ๆ
ความชัดตื้นและชัดลึกของภาพขึ้นกับปัจจัยหลายประการ คือ
1. ขนาดและความละเอียดของอิมเมจเซ็นเซอร์ กล้องที่ใช้อิเมเมจเซ็นเซอร์ขนาดเล็กจะชัดลึกมากกว่าอิมเมจเซ็นเซอร์ขนาดใหญ่
2. ทางยาวโฟกัสของเลนส์ เลนส์ทางยาวโฟกัสสั้นจะให้ความชัดลึกมากกว่าเลนส์?งยาวโฟกัสสูง
3. ระยะชัด ภาพที่ถ่ายจากระยะไกลจะมีความชัดลึกมากกว่าภาพถ่ายในระยะใกล้
4. ขนาดช่องรับแสง ช่องรับแสงแคบให้ภาพชัดลึกมากกว่าช่องรับแสงกว้าง
5. ระยะห่างของฉากหน้าและฉากหลังกับจุดปรับความชัด ยิ่งฉากและฉากหน้าอยู่ห่างจากจุดสนใจเท่าไร ฉากหน้าและฉากหลังจะยิ่งชัดตื้นขึ้นเท่านั้น
6. อัตราขยายภาพ ยิ่งขยายภาพมากเท่าไรความชัดลึกของภาพยิ่งลดลงเท่านั้นความชัดลึกของภาพยิ่งลดลงเท่านั้น
การถ่ายภาพให้ชัดลึก ควรใช้เลนส์มุมกว้างและช่องรับแสงแคบ ถ่ายภาพจากระยะไกล ให้วัตถุมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก โดยปกติกล้องดิจิตอลแบบคอมแพคจะให้ภาพชัดลึกสูง จนกล้องบางรุ่นตั้งระยะชัดคงที่ยังให้ภาพชัดลึกตลอด ส่วนการถ่ายภาพให้ชัดตื้น ควรถ่ายภาพที่ระยะใกล้ ใช้เลนส์ทางยาวโฟกัสสูง ช่องรับแสงกว้าง และให้ฉากหน้าฉากหลังอยู่ห่างจากแบบมากๆ
โดยปกติแนะนำให้ใช้ระบบถ่ายภาพแบบ A, AV หรือ Aperture Priority ในการควบคุมความชัดลึก หากต้องการภาพชัดตื้นให้เปิดช่องรับแสงกว้างๆ เอาไว้ก่อน ส่วนภาพที่ต้องการความชัดลึกให้เปิดช่องรับแสงแคบไว้ก่อน และพยายามควบคุมปัจจัยต่างๆ เช่น ทางยาวโฟกัสของเลนส์ ระยะชัด ระยะห่างของฉากหน้าฉากหลังให้เป็นไปตามทิศทางของความชัดลึกที่ต้องการ
อย่างไรก็ตาม บางครั้งเราอาจจะไม่ได้ชัดตื้นหรือชัดลึกอย่างที่หวังเอาไว้จากการควบคุมช่องรับแสงเพียงอย่างเดียว เพราะมีปัจจัยมากมายที่ควบคุมความชัดลึกของภาพอยู่ด้วย
5. ถ่ายภาพวัตถุขาวให้เป็นขาว
คนที่ใช้กล้องดิจิตอลแบบคอมแพค มักประสบปัญหาถ่ายภาพย้อนแสงแล้วฉากหน้ากับจุดสนใจกลายเป็นสีเข้มหรือดำ หรือถ่ายภาพที่มีส่วนขาวมากๆ เช่น ชายทะเล ฉากหลังเป็นกำแพงสีขาว ใส่ชุดสีขาว ฯลฯ แล้วภาพออกมามืดผิดปกติ
ปัญหาเกิดเนื่องจากพื้นฐานการทำงานของเครื่องวัดแสงจะพยายามปรับให้ภาพถ่ายที่ได้มีสีเป็นโทนกลางๆ เนื่องจากวัตถุที่เราถ่ายภาพส่วนใหญ่จะมีโทนสีหรือความสว่างระดับกลาง ไม่ได้เป็สีขาว หรือดำมากมายนัก ดังนั้น กล้องจึงปรับให้ภาพออกมาเป็นโทนสีและความสว่างระดับกลางเสมอ จะเกิดปัญหาในการใช้งานน้อยที่สุด แต่หากนำกล้องไปถ่ายภาพที่มีสีขาวมากๆ สีขาวจะถูกปรับให้มีความสว่างในระดับกลาง หรือเป็นสีเทา นั้นหมายถึงว่า ภาพที่ถ่ายได้ มืดกว่าความเป็นจริง เราเรียกภาพที่มืดกว่าความเป็นจริงว่า ภาพอันเดอร์ (Under Exposure)
การแก้ไขภาพอันเดอร์คือต้องเพิ่มค่าแสงที่ไปยังเซ็นเซอร์ให้น้อยลง ซึ่งมีแนวทางอยู่ 2 วิธีด้วยกัน
1. หากใช้ระบบถ่ายภาพอัตโนมัติ ได้แก่ A, S, P หรือระบบถ่ายภาพตามลักษณะภาพต่างๆ เช่น ระบบถ่ายภาพบุคคล ภาพทิวทัศน์ ฯลฯ ให้ใช้ระบบชดเชยแสง (Exposure Compensation) มักจะทำสัญลักษณ์เป็นเครื่องหมาย +- ให้ปรับไปทาง + จะเป็นการเพิ่มแสงให้ภาพสว่างขึ้น
2. หากใช้ระบบถ่ายภาพแบบปรับตั้งเอง (M) ให้ปรับช่องรับแสงกว้างขึ้นจากที่วัดได้ หรือเปิดความเร็วชัตเตอร์ลดลงจากที่วัดได้ จะทำให้แสงเข้าไปยังอิมมเจเซ็นเซอร์มากขึ้น ภาพจะสว่างขึ้นไปด้วย
การจะชดเชยแสงมากหรือน้อยขึ้นกับความสว่างและพื้นที่ของส่วนขาวเป็นหลัก ให้ลองดูภาพที่ปรากฏบนจอ LCD จะง่ายที่สุด หากเก่งพอให้ดูกราฟ Histogram แล้วก็จะรู้ค่าชดเชยแสงที่ต้องปรับได้เลยทันที
6. ถ่ายภาพวัตถุดำให้เป็นดำ
นอกจากปัญหาเรื่องถ่ายภาพย้อนแสงหรือมีส่วนขาวมากๆ แล้วภาพมืดเกินไปแล้ว เครื่องวัดแสงยังมีปัญหาในการถ่ายภาพที่มีส่วยมืดหรือส่วนดำมากๆ แล้วภาพสว่างเกินกว่าความเป็นจริงด้วยเช่นกัน
ปัญหาเกิดเนื่องจากพื้นฐานการทำงานของเครื่องวัดแสงจะพยายามปรับให้ภาพถ่ายที่ได้มีสีเป็นโทนกลางๆ เมื่อนำกล้องไปถ่ายภาพที่มีสีดำหรือสีเข้มมากๆ สีดำจะถูกปรับให้มีความสว่างในระดับกลาง หรือเป็นสีเทา นั้นหมายถึงว่า ภาพที่ถ่ายได้ สว่างกว่าความเป็นจริง เราเรียกภาพที่สว่างกว่าความเป็นจริงว่า ภาพโอเวอร์ (Over Exposure)
การแก้ไขภาพโอเวอร์คือ ต้องลดค่าแสงที่ไปยังเซ็นเซอร์ให้น้อยลง ซึ่งมีแนวทางอยู่ 2 วิธีด้วยกัน
1. หากใช้ระบบถ่ายภาพอัตโนมัติ ได้แก่ A, S, P หรือระบบถ่ายภาพตามลักษณะภาพต่างๆ ให้ใช้ระบบชดเชยแสง ปรับไปทาง - จะเป็นการลดแสงทำให้ภาพมืดลง
2. หากใช้ระบบถ่ายภาพแบบปรับตั้งเอง (M) ให้ปรับช่องรับแสงแคบลงจากที่วัดได้ หรือเปิดความเร็วชัตเตอร์สูงขึ้นจากที่วัดได้ จะทำให้แสงเข้าไปยังอิมมเจเซ็นเซอร์น้อยลง ภาพจะมืดลงไปด้วย
การจะชดเชยแสงมากหรือน้อยขึ้นกับความมืดและพื้นที่ของส่วนมืดเป็นหลัก ให้ลองดูภาพที่ปรากฏบนจอ LCD จะง่ายที่สุด หากเก่งพอให้ดูกราฟ Histogram แล้วก็จะรู้ค่าชดเชยแสงที่ต้องปรับได้เลยทันที
7. ถ่ายภาพคนย้อนแสงให้หน้าไม่ดำ
เวลาหัดถ่ายภาพใหม่ๆ ผู้ใหญ่มักจะสอนว่า อย่างถ่ายภาพย้อนแสง ภาพจะไม่สวย หน้าจะดำ และภาพก็ออกมาเช่นนั้นจริงๆ ทำให้หลายคนฝังใจว่า ไม่ควรถ่ายภาพย้อนแสงเพราะหน้าจะดำ แจ่จริงๆ แล้ว เราสามารถ่ายภาพย้อนแสงให้หน้าไม่ดำได้ถึง 3 วิธีด้วยกันคือ
1. ใช้ชดเชยแสง เป็นวิธีเดียวกับการถ่ายภาพวัตถุขาวให้ขาว เมื่อถ่ายภาพย้อนแสงเท่ากับว่ามีส่วนขาวสว่างจ้าเข้ามาในภาพ กล้องจึงปรับส่วนขาวให้เป็นเทา ภาพจึงมืดลง หากต้องการให้หน้าไม่ดำ ให้ใช้ระบบชดเชยแสงไปทาง + หรือลดความเร็วชัตเตอร์ หรือเปิดช่องรับแสงกว้างขึ้นเพื่อให้หน้าขาวขึ้น แต่วิธีนี้ด้านหลังจะสว่างจ้ามากขึ้น จนอาจจะเกิดแสงแฟลร์แสงฟุ้งขึ้นในภาพได้
2. ใช้วัดแสงเฉพาะจุดวัดแสงที่หน้าแบบหรือจุดสนใจ จะทำให้ได้ค่าเปิดรับแสงที่แม่นยำ ไม่โดนส่วนขาวของท้องฟ้าหลอกเอาได้ หน้าจะขาวตามปกติโดยไม่ต้องชดเชยแสงใดๆ แต่ส่วนขาวในภาพจะสว่างจ้าเช่นเดียวกับการใช้ชดเชยแสง
3. ใช้แฟลชลบเงา เป็นการเพิ่มแสงที่หน้าของแบบหรือจุดสนใจโดยตรง ทำให้ความแตกต่างของแสงฉากหลังกับแสงที่จุดสนใจลดลง สมดุลของแสงระหว่างฉากหล้าและหลังจะดีขึ้น สามารถถ่ายภาพให้เห็นทั้งจุดสนใจ และมีฉากหลังที่สวยงามมีรายละเอียดได้ การใช้แฟลชลบเงาให้ตั้งแฟลชไว้ที่ ON หรือ ไว้ทีรูปคนแล้วมีดวงอาทิตย์ด้านหลัง ระยะห่างจากกล้องถึงจุดสนใจไม่ควรเกิน 2 เมตร หากเกินนั้นแสงแฟลชจะไม่เพียงพอที่จะสร้างสมดุลของแสงระหว่างฉากหลังกับจุดสนใจได้ วิธีนี้มีข้อดีคือ เห็นภาพชัดเจนไปทั่วทั้งภาพ แต่ข้อเสียคือ แสงจะดูกระด้าง ไม่เป็นธรรมชาติ
8. จุดสนใจไม่อยู่กลางภาพ แต่ภาพยังชัด
มือใหม่ส่วนใหญ่จะเล็งภาพที่ตรงกลางจอช่องมองภาพ เมื่อปรับความชัดภาพเรียบร้อยจะกดชัตเตอร์บันทึกภาพเลย ภาพส่วนใหญ่จึงมีจุดสนใจอยู่ตรงกลาง การที่นำเอาจุดสนใจไว้กลางภาพแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้นบางครั้งจะทำให้ภาพดูนิ่ง ไม่สวย และดูน่าเบื่อง่าย ในขณะที่บางครั้งเราอาจจะอยากได้จุนใจใจไว้ที่ตำแหน่งอื่นๆ ภาพจะลงตัวมากกว่า แต่พอนำจุดสนใจไว้ส่วนอื่น ปรากฏว่า ภาพไม่ชัด
ปัญหาเกิดเนื่องจากกล้องจะปรับความชัดที่ตำแหน่งกลางภาพอยู่เสมอ ยกเว้นกล้องบางรุ่นที่มีระบบปรับความชัดแบบพื้นที่กว้าง กล้องจะหาตำแหน่งจุดสนใจอัตโนมัติ ซึ่งก็มีทั้งปรับความชัดได้ถูกต้องและปรับความชัดผิดพลาด
ทางแก้คือใช้ระบบล็อคความชัดในการล็อคระยะชัดเอาไว้ ซึ่งสามารถใช้ได้ในระบบปรับความชัดแบบทีละภาพ (Single AF) แต่ม่สามารถใช้ในระบบปรับความชัดแบบต่อเนื่อง(Continue AF) ได้ วิธีการทำดังนี้
1. วางตำแหน่งจุดสนใจไว้กลางภาพ กดปุ่มกดชัตเตอร์ลงไปครึ่งหนึ่งเพื่อปรับความชัด กดปุ่กดชัตเตอร์ค้างเอาไว้อย่างนั้น อย่าปล่อยและอย่ากดลงไปสุด
2. จัดองค์ประกอบภาพใหม่ให้จุดสนใจไปอยู่ในตำแหน่งที่ต้องการ หรือให้ได้ภาพในมุมที่ต้องการ (ยังต้องกดชัตเตอร์ครึ่งหนึ่งค้างเอาไว้)
3. กดชัตเตอร์ลงไปสุด กล้องจะบันทึกภาพ จะได้ภาพที่จุดสนใจคมชัดแม้จะไม่ได้อยู่กลางภาพก็ตา
9. ถ่ายภาพระยะใกล้
ดอกไม้สีสวยๆ กับวัตถุเล็กๆ ดูสวยงามมักจะเป็นจุดสนใจที่ดีเสมอ แต่ภาพทีได้มักตรงข้ามกับความน่าสนใจเป็นประจำ กล้องดิจิตอลคอมแพตจะมีระบบถ่ายภาพมาโครที่เป็นรูปดอกไม้ เมื่อเข้าสู่ระบบนี้กล้องจะสามารถปรับความชัดได้ใกล้ขึ้น ได้ภาพวัตถุที่มีขนาดใหญ่เต็มจอภาพ แต่ส่วนใหญ่มักมีปัญหา ภาพไม่ชัดเท่าไรนัก ปัญหาคือ บางคนเข้าใกล้เกินไป ทำให้กล้องปรับความชัดไม่ได้ บางคนถ่ายไกลเกินไป ทั้งๆ ที่กล้องถ่ายภาพได้ใกล้มากๆ
การถ่ายภาพในระยะใกล้ให้ได้สัดส่วนภาพอย่างที่ต้องการนั้น ประการแรก ผู้ใช้กล้องควรรู้ว่ากล้องของตัวเองสามารถปรับความชัดได้ใกล้เท่าใด กล้องดิจิตอลคอมแพคมันปรับความชัดได้ไกลมากๆ ขึ้นกับระบบปรับความชัดที่ใช้งาน เช่น ระบบปกติถ่ายได้ใกล้สุด 60 เซนติเมตร ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับการถ่ายภาพวัตถุเล็กๆ ให้ดูใหญ่ ระบบมาโครที่มักจะถ่ายภาพได้ใกล้ประมาณ 10-60 เซนติเมตร(ต้องดูข้อมูลจากคู่มือ) และระบบซุปเปอร์มาโครที่จะปรับความชัดใกล้มากๆ ประมาณ 3-20 เซนติเมตร
หากถ่ายภาพวัตถุที่มีขนาดเล็ก ผู้ใช้ต้องเข้าสู่ระบบมาโครก่อน จากนั้นประมาณระยะห่างจากวัตถุให้อยู่ในระยะชัดที่กล้องสามารถปรับได้ แล้วกดปุ่มกดชัตเตอร์เพื่อปรับระยะชัด ตำแหน่งที่ปรับความชัดควรเป็นตำแหน่งที่มีรายละเอียดสูง มีความแตกต่างของพื้นผิว มิเช่นนั้นกล้องจะปรับความชัดไม่ได้แม้จะอยู่ในระยะชัดที่กล้องทำงานได้ก็ตาม ต้องใจเย็นปรับระยะชัดของภาพให้ได้จริงๆ จากนั้นจัดองค์ประกอบแล้วกดชัตเตอร์ อย่ากดชัตเตอร์หากภาพไม่ชัดเพียงพอ เนื่องจากการถ่ายภาพใกล้ความชัดลึกจะต่ำมาก หากปรับระยะชัดพลาด ภาพจะไม่ชัดทันที และไม่ควรใช้ระบบสมดุลสีของแสงแบบ Auto ภาพจะมีสีผิดเพี้ยนได้ง่ายเมื่อถ่ายภาพมาโคร
การถือกล้องต้องนิ่งและรักษาระยะห่างระหว่างกล้องกับวัตถุให้คงที่มากที่สุด หากระยะเปลี่ยนภาพจะไม่ชัดทันที ต้องปรับระยะชัดใหม่ การใช้ขาตั้งกล้องจะช่วยให้ภาพคมชัดดีกว่า
10. ถ่ายภาพต่อเนื่อง
ในการถ่ายภาพเคลื่อนไหวเร็วๆ ให้ได้จังหวะตามที่ต้องการ สำหรับกล้องดิจิตอลคอมแพคอาจจะเป็นเรื่องน่าหนักใจพอสมควร (สำหรับผมหนักใจมากและมักจะหงุดหงิดประจำ)โดยปกติเรามักจะกดชัตเตอร์ในจังหวะที่ดีที่สุด และหวังว่าจะได้ภาพในจังหวะที่กดชัตเตอร์ออกมา แต่สำหรับกล้องดิจิตอลแบบคอมแพคมักไม่เป็นเช่นนั้น กล้องดิจิตอลแบบคอมแพคมีช่วงระยะเวลานับตั้งแต่ผู้ใช้กดชัตเตอร์ไปจนสุดถึงเวลาที่บันทึกภาพจริงๆ นานพอสมควร หากผู้ใช้กดชัตเตอร์ในจังหวะที่พอดีที่สุด ภาพที่ได้มักจะเลยจังหวะนั้นไปไกล บางทีเอากล้องไปพุทธมณฑล สวนสาธารณะไปเจอสาวสวยกำลังวิ่งจ๊อกกิ้งอยู่ เราว่าจะขอ(แอบ)ถ่ายซะหน่อย อ้าว ถ่ายติดแต่หลังซะแล้ว เราเรียกเวลาที่เหลื่อมกันตั้งแต่กดชัตเตอร์จนสุดถึงช่วงที่กล้องบันทึกภาพว่า Time Lag (Shutter Lag)
ในการถ่ายภาพเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ผู้ใช้จึงต้องทำการปรับตั้งกล้องเอาไว้ให้เรียบร้อยก่อน ทั้งโฟกัส ค่าแสง และเมื่อถึงเวลาที่วัตถุใกล้จะเข้าไปยังตำแหน่งที่ต้องการให้ถ่ายภาพต่อเนื่องเอาไว้ จะได้ภาพหลายๆ ภาพมาเลือกภาพที่ดีที่สุดในภายหลัง ขั้นตอนมีดังนี้
1. ปรับตั้งระบบถ่ายภาพไปที่ A, S, P หรือระบบที่ต้องการใช้งาน
2. ตั้งระบบถ่ายภาพต่อเนื่องเอาไว้ที่ Continue
3. ทำการปรับระยะชัดและค่าแสงเอาไว้ล่วงหน้า ต้องการให้วัตถุอยู่ที่ตำแหน่งใด ให้โฟกัสล่วงหน้าและล็อคระยะชัด รวมทั้งค่าแสงเอาไว้ก่อน (โดยการกดชัตเตอร์ลงไปครึ่งหนึ่งค้างเอาไว้ ส่วนค่าแสง ถ้าอยู่ในระบบปรับตั้งเอง M ให้ตั้งชัตเตอร์และช่องรับแสงรอเอาไว้เลย แต่ถ้าอยู่ในระบบอัตโนมัติทั้งหมด ให้ล็อคค่าแสงโดยการกดปุ่มกดชัตเตอร์ครึ่งหนึ่ง กล้องจะล็อคค่าแสงพร้อมความชัด)
4. เมื่อวัตถุเข้าใกล้ระยะหรือตำแหน่งที่ต้องการ ให้กดชัตเตอร์เพื่อบันทึกภาพค้างเอาไว้ (เวลาที่กดชัตเตอร์ล่วงหน้าขึ้นกับ Time Lag ของกล้อง)
5. ให้หยุดบันทึกภาพเมื่อวัตถุออกนอกตำแหน่งที่ต้องการแล้ว
การถ่ายภาพต่อเนื่องเพื่อให้ได้จังหวะภาพที่ต้องการ ต้องอาศัยการฝึกฝนและความเข้าใจในตัวกล้องพอสมควร จึงควรฝึกบ่อยๆ (ไม่ต้องกลัวเปลืองฟิล์มอยู่แล้ว)
11. เลือกใช้ White Balance ให้เหมาะกับภาพ
หลายครั้งที่มือใหม่ถ่ายภาพออกมาแล้วมีมีสันไม่ถูกใจ แล้วก็ไม่สามารถบอกได้ว่าไม่ถูกใจอย่างไร รวมถึงหาสาเหตุที่ภาพออกมามีสีสันไม่ได้ดังใจไม่ได้ บางภาพสีผิดเพี้ยน บางภาพสีซีดๆ โดยเฉพาะกับภาพดอกไม้สีสดๆ สีม่วงเข้ม สีชมพู ภาพพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก ภาพยามเช้าและเย็น ภาพใต้แสงไฟทังสเตน ปัญหาส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากการที่ผู้ใช้กล้องดิจิตอลส่วนใหญ่จะปรับตั้งระบบสมดุลสีของแสงเอาไว้ที่ Auto ซึ่งกล้องจะทำการปรับแก้สีภาพอัตโนมัติ ระบบสมดุลสีแบบ Auto จะใช้งานได้ดีต่อในภาพนั้นมีส่วนขาวที่เป็นขาวอย่างแท้จริงอยู่ด้วย หากภาพไม่มีส่วนขาวอยู่เลยมักจะเกิดสีผิดเพี้ยนเพราะ Auto WB ทำงานผิดพลาด จะเห็นได้จากภาพช่วงพระอาทิตย์ขึ้นหรือตกจะมีสีไม่แดงสด สีมักจะซีดๆ ไม่เหมือนตาเห็น
มีข้อแนะนำง่ายๆ ในการใช้ระบบ White Balance เพื่อให้ได้ภาพที่ดีคือ
1. หากต้องการแก้สีของภาพให้ขาวเป็นขาว แม้ว่าแสงที่ใช้จะมีสีไม่ขาวจริงก็ตาม แนะนำให้ใช้ระบบ WB แบบ Auto
2. ถ้าต้องการบรรยากาศของสีและแสงความความเป็นจริง แนะนำให้ใช้ค่า WB แบบ Daylight ที่เป็นรูปดวงอาทิตย์จะได้บรรยากาศสมจริงมากกว่า
3. หากต้องการแก้สีของแสงให้เป็นขาวเหมือนแสงกลางวันจริงๆ แนะนำให้เลือกแหล่งค่า WB ตามแหล่งกำเนิดแสงที่ใช้ จะทำงานได้ดีกว่าระบบ Auto
4. ถ้าถ่ายภาพวัตถุที่มีสีสันจัดจ้าน แม่แต่วัตถุสีในภาพ และไม่มีส่วนสีขาวในภาพ แนะนำให้ใช้ระบบ WB แบบ Daylight จะได้ภาพที่มีสีสันดีกว่า หากใช้ระบบ Auto มักได้ภาพที่มีสีสันผิดเพี้ยน
-- ขอขอบคุณบทความจาก คุณคนข้างใจ ห้อง BluePlanet:Pantip.com --